พลิกโฉมการศึกษาไทย
:
5 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ปั้นเด็กยุคใหม่สู่ ‘นวัตกรสังคม’
ดร.จริยา ทองหอม
19 ตุลาคม 2568
1. บทนำ: โลกเปลี่ยนไป
แต่การศึกษาของเรา...ทันแล้วหรือยัง?
เรากำลังอยู่ในยุคที่เรียกว่า 'VUCA World' โลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน (Volatility),
ความไม่แน่นอน (Uncertainty), ความซับซ้อน (Complexity),
และความคลุมเครือ (Ambiguity) สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
ทำให้ผู้ปกครองและสังคมต่างตั้งคำถามสำคัญว่า การศึกษาแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคย
ยังสามารถเตรียมความพร้อมให้ลูกหลานของเราสำหรับอนาคตที่ไม่เหมือนเดิมได้อีกต่อไปหรือไม่
และทำให้เกิดคำถามว่า การศึกษาที่เคยสร้างคนสำหรับโลกยุคอุตสาหกรรม
จะกลายเป็นระบบที่ 'ทำร้ายชาติพันธุ์ของมนุษย์' โดยไม่เจตนาหรือไม่ หากไม่ปรับตัวในวันนี้
ท่ามกลางความกังวลนี้
กำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแวดวงการศึกษาไทย ที่ไม่ได้เป็นเพียงการปรับหลักสูตรเล็กๆ
น้อยๆ แต่คือการพลิกโฉมกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่
เพื่อเปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นพื้นที่บ่มเพาะ "นวัตกรสังคม" คนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเติบโตและสร้างสรรค์ในโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง
2. ประเด็นที่ 1: ลาก่อนการบ้านกองโต!
สู่ยุค “ชิ้นงานเดียว...วัดผลครบวงจร”
หัวใจของการปฏิวัติ:
ชิ้นงานเดียว...วัดผลครบวงจร
หนึ่งในแนวคิดที่น่าทึ่งและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุด
คือการ "ปรับลดชิ้นงานผู้เรียน
เน้น 1 ชิ้นงาน : ครบองค์รวม" นี่ไม่ใช่เพียงการลดภาระการบ้านของเด็กๆ
เท่านั้น แต่เป็นการปฏิวัติวิธีการวัดและประเมินผลอย่างสิ้นเชิง
แนวคิดนี้คือการบูรณาการการเรียนรู้ข้ามกลุ่มสาระวิชา
เพื่อให้ชิ้นงานที่มีคุณภาพเพียงชิ้นเดียว
สามารถสะท้อนความสามารถของผู้เรียนได้อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น:
- ความรู้: (วัดผลผ่านตัวชี้วัดปลายทาง)
- ทักษะ: (ประเมินจากสมรรถนะที่สำคัญ)
- คุณธรรม: (สังเกตจากคุณลักษณะที่พึงประสงค์)
การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการเปลี่ยนจุดโฟกัส
จากเดิมที่เน้น "ปริมาณ" ของงานที่ทำ มาสู่ "คุณภาพ" และความลุ่มลึกของผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นเพียงชิ้นเดียว
ซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์อย่างเต็มศักยภาพ
3. ประเด็นที่ 2: หมดสมัยเรียนเหมือนกันทุกคน!
หลักสูตรที่ส่งเสริม “อัจฉริยะในแบบของตัวเอง”
ปลดล็อกศักยภาพ:
จากการศึกษาภาคบังคับสู่เส้นทางอัจฉริยะของตนเอง
แนวทางการศึกษาใหม่ได้ก้าวข้ามยุคของการศึกษาภาคบังคับ
ที่นักเรียนทุกคนต้องเรียนเนื้อหาเดียวกัน ทำแบบฝึกหัดเหมือนกัน
และสอบด้วยข้อสอบชุดเดียวกันไปแล้ว
เพราะการศึกษาในรูปแบบเดิมนั้นมีข้อจำกัดและอาจส่งผลเสียในระยะยาว
"การศึกษาที่ผ่านมาส่งผลให้มนุษย์มีแต่ทักษะต่ำๆ
สร้างสรรค์ไม่เป็น แก้ปัญหาไม่ได้ ออกแบบพัฒนานวัตกรรมเพื่อตนเองไม่ได้
ทำได้เพียงทักษะลอกเลียนแบบไปวันๆ เป็นการศึกษาที่ทำร้ายชาติพันธุ์ของมนุษย์
การศึกษาเช่นต้องหมดไปในเร็วพลัน"
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจและถนัด
ซึ่งแนวทางที่นำมาใช้จะช่วยให้เด็กแต่ละคนค้นพบตัวตนของตนเองได้เร็วที่สุด
และเสริมสร้างจนเป็น "อัจฉริยะ" ในแบบของตัวเอง
ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพเฉพาะบุคคลได้อย่างเต็มที่และมีความหมาย
4. ประเด็นที่ 3: เปลี่ยนห้องเรียนเป็นห้องปฏิบัติการ
ด้วยพลังของ “Active Learning”
จากผู้ฟังสู่ผู้สร้าง:
พลังแห่งการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Active
Learning)
หัวใจสำคัญของการพลิกโฉมห้องเรียนในครั้งนี้คือ ‘Active Learning’ หรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง
ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับสารจากการนั่งฟังบรรยายอีกต่อไป
แต่การลงมือทำเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมาพร้อมกับกรอบคิดเชิงกลยุทธ์ นั่นคือ ‘Design
Thinking’ หรือการคิดเชิงออกแบบเพื่อแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่
กล่าวคือ Active Learning คือการลงมือทำ ส่วน Design
Thinking คือการคิดอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างสรรค์และแก้ปัญหา
- ห้องเรียนแบบเดิม
(Passive Learning): เน้นการฟัง การดู การจดบันทึก
- ห้องเรียนยุคใหม่
(Active Learning): เน้นการทำงานร่วมกัน ตั้งแต่ร่วมวางแผน ร่วมลงมือทำ ร่วมประเมินผล
ไปจนถึงการร่วมกันแก้ปัญหาและรับผิดชอบผลงาน
การเรียนรู้ในลักษณะนี้จะสร้างทักษะที่คงทนและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่ว่าจะเป็นทักษะการทำงานเป็นทีม การคิดเชิงวิพากษ์ หรือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกการทำงานในอนาคตต้องการ
5. ประเด็นที่ 4: “Soft Power” ท้องถิ่น คือขุมทรัพย์ในหลักสูตรใหม่
ขุมทรัพย์ใกล้ตัว:
ผสาน Soft Power ท้องถิ่นเข้ากับห้องเรียน
อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจของหลักสูตรใหม่
คือการนำ 'Soft Power' หรือสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น
เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญา วัฒนธรรมประเพณี
หรือทรัพยากรในชุมชน
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือการนำปราชญ์ชาวบ้านเข้ามาเป็นต้นแบบ
หรือนำการละเล่นพื้นบ้านมาให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และเข้าถึง เพื่อสร้างความเข้าใจในรากเหง้าของตนเอง
แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ทำให้การเรียนรู้มีความหมายและเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของผู้เรียน
แต่ยังเป็นการส่งเสริมการต่อยอดวัฒนธรรมให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถสร้างมูลค่าและรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนและประเทศชาติต่อไป
6. ประเด็นที่ 5: “ศาสตร์พระราชา”
หลักคิดเหนือกาลเวลาสำหรับโลก VUCA
รากฐานที่มั่นคง:
“ศาสตร์พระราชา” หลักคิดนำทางการศึกษาในโลกผันผวน
เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้
มีรากฐานทางความคิดที่แข็งแกร่งและลุ่มลึกอย่าง "ศาสตร์พระราชา" เป็นหลักนำทาง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างคนที่พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนของโลกยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
โดยมีหลักการสำคัญที่เข้าใจง่ายและนำไปปรับใช้ได้ เช่น
- การปลูกจิตสำนึกแบบระเบิดจากข้างใน:
เน้นการสร้างแรงจูงใจจากภายในของผู้เรียนเอง ไม่ใช่การสั่งหรือบังคับจากภายนอก
เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
- ไม่ติดตำรา:
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีแนวคิดเป็นของตนเอง
สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ให้เหมาะสมกับบริบทจริงได้
ไม่ใช่การทำตามตำราโดยปราศจากการคิดวิเคราะห์
- พึ่งตนเอง:
เป้าหมายคือการทำให้ผู้เรียนสามารถคิด เลือกแนวทาง
และลงมือพัฒนาตนเองได้โดยไม่ต้องรอการชี้นำตลอดเวลา
ในมุมมองของนักอนาคตศาสตร์
หลักคิดเหล่านี้ไม่ใช่เพียงปรัชญาของไทย แต่คือหลักการสากลที่เหนือกาลเวลา
ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับโลกที่ซับซ้อน
นั่นคือ การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนจากภายใน (intrinsic
motivation), การปรับตัวให้เข้ากับบริบท (contextual
adaptation) และ การเรียนรู้ด้วยตนเอง (self-directed
learning) ซึ่งล้วนเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีที่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่มีความเข้มแข็ง
พร้อมเผชิญกับทุกความท้าทายในโลก VUCA
7. บทสรุป: ก้าวต่อไปของการศึกษาไทย
การเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
ไม่ใช่แค่การปรับปรุงหลักสูตร แต่คือ การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ครั้งสำคัญของการศึกษาไทย
จากระบบที่เน้นการท่องจำและวัดผลแบบเดียวกัน
ไปสู่การสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์สำหรับศตวรรษที่ 21 ที่สามารถคิดวิเคราะห์
สร้างสรรค์ และพึ่งพาตนเองได้
นี่คือการเดินทางครั้งใหม่ที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย
คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่ว่าระบบการศึกษาพร้อมหรือไม่ แต่คือ...
"เมื่อโรงเรียนกำลังจะเปลี่ยนไปครั้งใหญ่...
เราในฐานะผู้ปกครองและส่วนหนึ่งของสังคม
พร้อมจะปรับตัวและสนับสนุนการเดินทางครั้งใหม่นี้แล้วหรือยัง?"
ที่มา :
ครรชิต มนูญผล. (2567 เมษายน
16). การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อสร้าง “นวัตกรสังคม”
ในศตวรรษที่
21 + VUCA World ตามหลัก “ศาสตร์พระราชา”. เอกสารประกอบการอบรม
ผู้บริหาร
ครูผู้สอน ศึกษานิเทศก์
ตามมาตรฐาน ว PA
จริยา ทองหอม.
(2568). โครงการ พาคิด+พาทำ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เพื่อสร้าง “นวัตกรสังคม”
โดยใช้ Soft Power ในศตวรรษที่
21+VUCA World ด้วย Active Learning + Design
Thinking
ตามหลัก “ศาสตร์พระราชา” ด้วยกระบวนการ R&D. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
นครศรีธรรมราช เขต 1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น