วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563

“พิชิตอุทกภัย สู้ภัยน้ำท่วม”

 

“พิชิตอุทกภัย สู้ภัยน้ำท่วม”  @โรงเรียนวัดบ้านตาล

ดร.จริยา ทองหอม


ภารกิจ “พิชิตอุทกภัย สู้ภัยน้ำท่วม” ของบุคลากรโรงเรียนวัดบ้านตาล






วันที่ 2 ธันวาคม 2563  

-  คุณครูแจ้งว่าน้องน้ำมาเยี่ยมโรงเรียนด้วยเวลาอันรวดเร็ว จนโรงเรียนมีสภาพเป็นสวนน้ำภายในเวลา  1  ชั่วโมง

-        -    คุณครูและบุคลากรภายในโรงเรียนช่วยกันยกของขึ้นที่สูง  แต่น้ำยังคงทะลักเข้ามา เวลา 16.30 น. ระดับน้ำสูงถึง 1 เมตร












วันที่ 3 ธันวาคม 2563  

-  น้องน้ำมาแล้วก็จากไป  สภาพโรงเรียนหลังน้องน้ำจากไปทิ้งคราบโคลน สภาพอาคารสถานที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน และความเสียหายของวัสดุ อุปกรณ์เอาไว้ 

-       -   ขอบคุณบุคลากรทุกท่านที่ทุ่มเทกำลังกาย จิตใจ พร้อมลุยงานเต็มที่เพื่อปรับพื้นที่ให้คืนสู่สภาพเดิม







 วันที่ 4 ธันวาคม 2563  

-  ภารกิจพิชิตโคลน  การจัดการเรียนการสอนกลุ่มการงาน ร่วมด้วยช่วยกันทำความสะอาดบริเวณโรงเรียนและอาคารสถานที่

-       -   พักเหนื่อยด้วยข้าวเกรียบ และไก่ทอด 5 ดาว ตามคำเรียกร้องของนักเรียน

-      -   ขอบคุณบุคลากรทุกท่านและนักเรียนทุกคนที่ร่วมด้วยช่วยกัน











วันที่ 21 ธันวาคม 2563  

-  นิเทศ เยี่ยมเยือน โรงเรียนเพื่อรับทราบสภาพความพร้อม และความต้องการของโรงเรียนหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม  โรงเรียนยังต้องการขวัญ กำลังใจ และความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้









-    ขอขอบคุณทุกๆท่าน  ทุกๆกำลังใจ  และทุกๆความช่วยเหลือ

 ...............................................................

ที่มา:  สุพรรณี สุวรรณเจริญ. ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบ้านตาล  ต. กำแพงเซา  อ. เมืองนครศรีธรรมราช

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของโรงเรียนขนาดเล็ก

 ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของโรงเรียนขนาดเล็ก

ดร.จริยา ทองหอม


จากการสังเคราะห์งานวิจัยพบว่า ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอน นักเรียน และผู้ปกครองนักเรียนมีความเห็นสอดคล้องกันเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)  ของโรงเรียนขนาดเล็ก ดังนี้ 

1. ด้านสื่ออุปกรณ์

1. โรงเรียนยังขาดแคลนสื่อและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน

2. การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน และหาช่างมาปรับปรุงซ่อมแซมสัญญาณ

ภาพและเสียง เพื่อแก้ไขสัญญาณภาพขาดความคมชัดที่ทำให้นักเรียนปลายทางเรียนและทำกิจกรรมไปพร้อมกับโรงเรียนต้นทางไม่ทัน เพราะบางโรงเรียนอยู่ห่างไกลทำให้ต้องใช้เวลานานในการเดินทางไปซ่อมแซมระบบ และช่างที่รับผิดชอบดูแลมีจำนวนไม่พอในการดูแลระบบ

2. ด้านครูผู้สอน

1. โรงเรียนขนาดเล็กส่วนใหญ่มีครูไม่ครบชั้น บางโรงเรียนไม่มีผู้บริหาร

2. ครูยังมีความรู้ทักษะไม่เพียงพอในการจัดการเรียนการสอนไปพร้อมกับโรงเรียนต้นทาง 

3. ครูในโรงเรียนขนาดเล็กต้องจัดการเรียนการสอนและสื่ออุปกรณ์พร้อม ๆ กันในหลายระดับชั้น

3. ด้านการจัดการเรียนการสอน

1. ปัญหาในส่วนของผู้เรียนที่มีพื้นฐานไม่เท่ากันกับโรงเรียนต้นทาง ทำให้นักเรียนเรียนไม่ทัน 

.............................................................

ที่มา

นิดา หมั่นดี และ ธีระ หฤทัยธนาสันติ์. (2561). การจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมของโรงเรียนขนาดเล็ก

          ในยุคการศึกษาไทย 4.0. วารสารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. 29(2), 209-218.

ผ่องพิชญ์ สวงรัมย์. (2562). การใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) สำหรับการพัฒนาโรงเรียนขนาด

          เล็กในประเทศไทย.

รุ่งทิพย์ สิงห์สุติน. (2558). การประเมินการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมของโรงเรียนขนาดเล็ก

สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2.




วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)

 

ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)

ดร.จริยา ทองหอม


ยุทธศาสตร์  4  5  6

4 ข้อพื้นฐาน
1. สภาพแวดล้อมของโรงเรียนและภายในห้องเรียนต้องสะอาดและเป็นระเบียบ
2. โทรทัศน์ขนาดเหมาะสมกับห้องเรียนและจำนวนนักเรียนติดตั้งโทรทัศน์ให้มีความสูงเหมาะสมกับระดับสายตานักเรียน
3. บทบาทของครูต้องเอาใจใส่กำกับดูแลช่วยเหลือนักเรียนก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน
4. นักเรียนต้องมีส่วนร่วมกิจกรรมและตั้งใจเรียนรู้ไปพร้อมกับนักเรียนวังไกลกังวล
5 ข้อ สำหรับผู้บริหาร
1. ผู้บริหารโรงเรียนต้องวางแผนการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ส่งเสริม สนับสนุน การจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียมอย่างจริงจัง และอำนวยความสะดวกให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง
2. ผู้บริหารโรงเรียนต้องเป็นผู้นำด้วยความมุ่งมั่น และนำพาครูทุกคน ทุกฝ่าย ตระหนัก เห็นความสำคัญและให้ความร่วมมือดำเนินการอย่างจริงจังต่อเนื่อง
3. ผู้บริหารโรงเรียนต้องจัดหาเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมและโทรทัศน์ขนาดเหมาะสมกับห้องเรียนและจำนวนนักเรียน ติดตั้งโทรทัศน์ให้มีความสูงเหมาะสมกับระดับสายตานักเรียน
4. ผู้บริหารโรงเรียนต้องจัดหาคู่มือครูสอนทางไกลผ่านดาวเทียม
5. ผู้บริหารโรงเรียนต้องนิเทศ ติดตาม การจัดการเรียนการสอนทุกห้องอย่างสม่ำเสมอ

6 ข้อ สำหรับครูผู้สอน
1. ครูต้องจัดสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมกับเอื้อต่อการปฏิบัติกิจกรรมตามแผนการจัดการเรียนรู้
2. ครูต้องเตรียมการสอนล่วงหน้า ทั้งสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ใบงาน ใบความรู้และกิจกรรมเสริม ตามที่คู่มือครูสอนทางไกลผ่านดาวเทียมกำหนด รวมทั้งมอบหมายงานให้นักเรียนเตรียมพร้อมในการเรียนครั้งต่อไป
3. ครูต้องร่วมจัดการเรียนรู้ไปพร้อมกับครูโรงเรียนต้นทางและต้องเอาใจใส่ กำกับ ดูแล แนะนำนักเรียนให้ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนทุกครั้ง
4. ครูต้องสรุปสาระสำคัญร่วมกับนักเรียนหลังจากกิจกรรมการเรียนรู้สิ้นสุดลงและบันทึกผลการจัดการเรียนรู้หลังสอนทุกครั้ง
5. ครูต้องวัดและประเมินผล เมื่อกิจกรรมการเรียนรู้สิ้นสุดในแต่ละครั้ง แต่ละหน่วยการเรียนรู้ ทำให้ทราบว่าผลการเรียนรู้ของนักเรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่ เพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป
6. ครูต้องจัดกิจกรรมสอนซ่อมเสริมนอกตารางออกอากาศเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ไม่บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้หรือให้ความรู้เพิ่มเติมแก่นักเรียน  


ที่มา:  http://1.179.165.50/dltv/index.php/80-2014-12-17-13-32-07/88-456

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2563

การเขียนบทความวิจัย

 

การเขียนบทความวิจัย

ดร.จริยา  ทองหอม


นิยามความหมายของบทความวิจัย

บทความวิจัย (research article) เป็นรูปแบบของความเรียงชนิดหนึ่งที่นำเอาเอาองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยมาเขียนใหม่ในประเด็นที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอโดยผู้เขียนบทความวิจัยอาจเป็นเจ้าของผลงานวิจัย ในเรื่องนั้นๆ หรือเป็นผู้อ่านงานวิจัยในเรื่องนั้นๆ แล้วพบประเด็นที่น่าสนใจจากงานวิจัยที่อ่าน แล้วนำประเด็นที่สนใจนั้นมาเขียนเป็นบทความวิจัยให้อ่านและเข้าใจได้ง่าย เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้นั้นให้แพร่หลายออกไป ข้อค้นพบจากงานวิจัยเรื่องหนึ่ง ๆ อาจมีหลายประเด็น แต่ในการเขียนบทความวิจัย สามารถนำข้อค้นพบเหล่านั้นมาเขียนเป็นบทความวิจัยเป็นเรื่อง ๆ ได้หลายเรื่อง การเขียนบทความวิจัยเป็นผลงานต่อเนื่องที่ได้มาจากการสกัดงานวิจัย ซึ่งบทความประเภทนี้ เป็นบทความที่ประมวล สรุปกระบวนการวิจัยให้มีความกระชับและสั้น เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร สื่อสิ่งพิมพ์ หรือการประชุมสัมมนาทางวิชาการ

บทความวิจัยเป็นเอกสารทางวิชาการที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์มากกว่ารายงานการวิจัย เพราะ ในระหว่างการดำเนินการวิจัย นักวิจัยอาจตัดตอนผลการวิจัยนำร่อง หรือผลงานวิจัยบางส่วนนำเสนอเป็นบทความวิจัยเพื่อเผยแพร่หรือตรวจสอบความคิดได้ บทความวิจัยจึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของรายงานการวิจัยที่นักวิจัยนำเสนอก่อนรายงานการวิจัยและเป็นสารสนเทศที่ทันเหตุการณ์มากกว่ารายงานการวิจัยที่มีการเผยแพร่เมื่อเสร็จสิ้นโครงการวิจัย

บทความความวิจัยต้องผ่านการกลั่นกรองและตรวจสอบเนื้อหาสาระความถูกต้องจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้น ๆ  นอกจากนี้แล้วจะต้องมีรูปแบบการจัดพิมพ์ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานของวารสาร หรือตามที่คณะกรรมการประเมินด้วย เป็นการก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่กระชับชัดเจนและเข้มข้นในเนื้อหามากยิ่งขึ้น

บทความที่เกิดจากการค้นคว้าวิจัย โดยมีกระบวนการที่นำไปสู่การสร้างความรู้ และมีข้ออธิบายได้ชัดเจนเป็นงานวิจัยที่มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาเฉพาะพื้นที่ (เช่นระดับจังหวัด ตำบล หมู่บ้าน หรือ ชุมชน) ไม่ใช่พัฒนาในระดับประเทศ หรือระดับโลก  มีการนำไปใช้ประโยชน์ หรือถูกนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ได้แก่ ประโยชน์เชิงนโยบาย เชิงพาณิชย์ หรือสาธารณะ

บทความวิจัยเป็นเอกสารทางวิชาการที่นักวิจัยเขียนขึ้นในรูปบทความวิชาการเพื่อนำเสนอข้อค้นพบเชิง ประจักษ์และหรือนวัตกรรมที่เป็นผลงานผ่านสื่อประเภทต่างๆ รวมทั้งการเผยแพร่ในที่ประชุมวิชาการเนื่องจากวารสารมีจำนวนหน้าที่จำกัดและการประชุมวิชาการมีเวลาจำกัด  บทความวิจัยจึงมีความยาวจำกัด มีจำนวนหน้าน้อยกว่ารายงานการวิจัย

การใช้ประโยชน์ก่อให้เกิดผลกระทบทางบวกในวงกว้าง หรือค่อนข้างมากต่อสังคม จากที่นำเสนอไปข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่า “บทความวิจัย” เป็นบทความที่เขียนขึ้นโดยอาศัยข้อมูลจากการทำวิจัยของผู้วิจัยในฐานะผู้เขียนนั่นเอง ดังนั้น คงไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า “บทความวิจัย” คือขั้นตอนหนึ่งกระบวนการดำเนินการวิจัยด้วย ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์ของการวิจัย คือ การค้นหาความรู้ใหม่หรือการค้นหาแนวทางที่จะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ การวิจัยเปรียบเสมือนการต่อยอดของฐานความรู้ที่มีการสั่งสมกันมา ความรู้ที่สั่งสมกันมานั้นก็มาจากการวิจัยก่อนหน้านี้นั่นเอง เราสามารถเข้าถึงความรู้ดังกล่าวได้ก็ด้วยการเข้าถึงสิ่งตีพิมพ์ และผลงานที่ผู้อื่นทำการวิจัยก่อนหน้านี้ได้เผยแพร่ไว้  ในทำนองเดียวกัน ผลงานวิจัยใหม่จากการวิจัยของเราเองก็ควรได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ เพื่อเป็นการสั่งสมความรู้ให้เพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก และเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ตรงกันข้ามกับผลงานวิจัยที่ไม่ได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่ หรือไม่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในแหล่งที่เหมาะสม จะหลุดไปจากองค์ความรู้โดยรวม นับเป็นการสูญเปล่า และจะเปรียบเสมือนไม่มีผลงานนั้นเกิดขึ้นเลย

องค์ประกอบหรือโครงสร้างของบทความวิจัย

การเผยแพร่ความรู้โดยการเขียนบทความสำหรับนักวิชาการส่วนใหญ่จะทำในรูปแบบของผลงานวิชาการ ซึ่ง การเขียน “บทความ (Article)”  เป็นรูปแบบการเขียนประเภทหนึ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารข้อเท็จจริง และความคิดเห็น ให้กับผู้อ่าน เป็นข้อเขียนที่มีขนาดสั้น เนื้อหาที่นำเสนอนั้น ต้องมาจากข้อมูลจริง ไม่ใช่เรื่องที่แต่งหรือคิดขึ้นจากจินตนาการ และมีลักษณะเป็นข้อเขียนขนาดสั้น   

สำหรับ “บ ท ค ว า ม วิ จั ย ”  หรือ Research article นั้น เป็นบทความที่เป็นผลงานต่อเนื่องจาก งานวิจัย หรือสกัดมาจากงานวิจัย บทความประเภทนี้ เป็นบทความที่ประมวลสรุปกระบวนการวิจัยให้มีความกระชับและสั้น สำหรับตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือที่ประชุมสัมมนา โดยการพิมพ์เผยแพร่ บทความวิจัย ต้องผ่านการกลั่นกรอง ตรวจสอบเนื้อหาสาระ และความถูกต้องจากผู้ทรงคุณวุฒิในวงวิชาการนั้นๆ (Peer review)  นอกจากนี้ จะต้องมีรูปแบบการจัดพิมพ์ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานของวารสารหรือคณะกรรมการประเมิน

เทคนิคการเขียนบทความวิจัย

การเขียนบทความวิจัย คือ การนำเสนอบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ทำให้ผู้เขียนได้พัฒนาศักยภาพของตนเองตลอดเวลา และบทความวิจัยคือส่วนหนึ่งในการพัฒนาชื่อเสียงให้กับสถาบัน  การเขียนบทความวิจัยที่มีคุณภาพนั้นต้องมีวิธีการเขียนบทความวิจัยคือต้องใช้เทคนิคการเขียน และมีการใช้ภาษาที่ถูกต้องด้วย

วิธีการเขียนบทความวิจัยนั้นมีระดับของคุณภาพของบทความวิจัยมีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ เรียงจากน้อยไปหามาก ได้แก่  1) ระดับดี คือ เป็นบทความ วิจัยที่มีเนื้อหาสาระทางวิชาการถูกต้องสมบูรณ์และทันสมัย มีแนวคิดและการนำเสนอที่ชัดเจน เป็นประโยชน์  2) ระดับดีมาก คือ มีเกณฑ์เช่นเดียวกับระดับ ดี แต่จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติม คือ บทความนั้น ๆ ต้องมีการวิเคราะห์ และนำเสนอความรู้ หรือวิธีการที่ทันสมัยต่อความก้าวหน้าทางวิชาการ เป็นบทความที่เป็นประโยชน์  สามารถนำไปใช้อ้างอิงหรือนำไปปฏิบัติได้  และ 3) ระดับดีเด่น คือ มีเกณฑ์เช่นเดียวกับบทความในระดับดีมาก แต่จะมี ข้อกำหนดเพิ่มเติม คือ บทความนั้น ๆ ต้องมีลักษณะเป็นงานที่บุกเบิกทางวิชาการ ตลอดจนมีการสังเคราะห์ จนถึงระดับที่สร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ  ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีการกระตุ้นให้เกิดความคิดค้นอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ หรือในวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งการเขียนบทความวิจัยในระดับคุณภาพต่าง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับแก่นสาระที่สำคัญของบทความวิจัย คือใช้ระเบียบวิธีการในการวิจัยที่เหมาะสม และมีผลการวิจัยที่ยังไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน

ส่วนประกอบที่สำคัญของการเขียนบทความวิจัย

บทความวิจัย คือ บทความที่ควรประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ  ดังต่อไปนี้

1. ชื่อเรื่อง (Title) คือ ผู้เขียนต้องตั้งชื่อเรื่องของบทความวิจัยที่บ่งบอกให้เห็นถึงประเด็นสำคัญของงานวิจัย ชื่อเรื่องต้องตรงประเด็น ไม่กำกวม  และเข้าใจได้ง่าย 

2. บทคัดย่อ (Abstract) คือ บทคัดย่อนั้นนับว่าเป็นส่วนที่เขียนยากที่สุดของบทความวิจัย ผู้เขียนควรจะเขียนบทคัดย่อในลำดับท้ายสุด เนื่องจากเนื้อหาของบทคัดย่อ จะต้องมีการกล่าวถึงเนื้อหาโดยรวมทั้งหมดของบทความหรือแบบที่มีข้อจำกัดในด้านของจำนวนคำในการเขียน ซึ่งในการเขียนบทคัดย่อที่ดีนั้น ผู้เขียน บทความวิจัย คือ ผู้ที่ควรจะต้องเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดเสียก่อนจึงจะสามารถเขียนได้อย่างกระชับ และบทความวิจัยสามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระที่สำคัญของบทความวิจัยได้เนื้อหาในส่วนของบทคัดย่อควรจะกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของงานวิจัย วิธีการในการทำวิจัย และผลของการวิจัย

3. บทนำ (Introduction) คือ เนื้อหาในส่วนของบทนำจะต้องกล่าวถึง ความเป็นมา และสิ่งที่น่าสนใจของงานวิจัยว่ามีอะไรใหม่ ๆ หรือมีความโดดเด่นอย่างไร มีความแตกต่างจากงานวิจัยอื่นๆ ในเรื่องเดียวกันอย่างไร นอกจากนี้ บทความวิจัย คือ บทความที่ควรกล่าวด้วยว่างานวิจัยนี้สามารถแก้ปัญหาหรืออุดช่องโหว่ในเรื่องนั้น ๆ อย่างไร

4. ระเบียบวิธีวิจัย (Research methodology) คือ เนื้อหาของส่วนนี้ ผู้เขียนจะต้องกล่าวถึงวิธีที่ใช้ในการทำวิจัย เช่น บทความวิจัย คือ บทความวิจัยเชิงคุณภาพ หรือบทความวิจัยเชิงปริมาณ และมีวิธีการคัดเลือก ผู้ให้ข้อมูลหรือกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีใด  ผู้ที่ให้ข้อมูลหรือกลุ่มตัวอย่างเป็นใคร มีจำนวนเท่าไร ใช้วิธีใดในการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร  นอกจากนี้ ผู้เขียนต้องบอกเหตุผลที่ใช้วิธีวิจัยดังกล่าว

5. ผลการวิจัย (Research findings/results) คือ หัวใจหลักของบทความวิจัยนั้นๆ ผู้เขียนต้องเขียนอธิบายว่าค้นพบอะไรบ้านจากการศึกษา ผู้เขียนอาจมีการนำเสนอด้วยการใช้แผนภูมิหรือตารางประกอบการอธิบาย

6. วิจารณ์ผลการวิจัย (Discussion) คือ ส่วนที่ผู้เขียนสามารถที่จะนำไปรวมอยู่ในส่วนของผลการวิจัยก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบที่กำหนด การวิจารณ์ผลการวิจัยเป็นการเปรียบเทียบผลที่ผู้เขียนค้นพบกับการศึกษาก่อนหน้านี้ และบทความวิจัย คือ บทความที่เป็นการแสดงการวิเคราะห์ว่าผู้เขียนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการศึกษาก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ ตามการเขียนในส่วนนี้ต้องอาศัยการทบทวนวรรณกรรม หรืองานวิจัยจำนวนมากมาก่อน

7. บทสรุป (Conclusion)  เป็นส่วนที่สรุปสาระสำคัญของบทความวิจัย คือ ประเด็นที่ผู้เขียนค้นพบ ในความยาวประมาณ  1-2  ย่อหน้า

บทสรุป

ผลจากการนำเสนอในข้างต้นนั้น พอที่จะเข้าใจถึงการเขียนบทความเชิงวิชาการที่นักวิชาการจะต้องเรียนรู้ และฝึกฝนปฏิบัติตน ซึ่งถือเป็นบทบาทและหน้าที่ของตน ทั้งนี้ ประโยชน์ของการเขียนบทความเชิงวิชาการนั้น มีทั้งต่อตัวผู้เขียนเองในแวดวงวิชาการและสังคมส่วนรวม  การเขียนบทความเชิงวิชาการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จึงจำเป็นที่ผู้เขียนจะต้องมีความรู้ในเชิงหลักการหรือแนวคิดทฤษฎีการเขียนบทความ รวมทั้งต้องพยายามหมั่นฝึกฝนลงมือปฏิบัติ เพื่อสั่งสมประสบการณ์และความชำนาญ เพื่อให้สามารถเขียนบทความที่ดีหรือมีคุณภาพได้ ทั้งนี้ หลักการทั่วไปของการเขียนบทความเชิงวิชาการนั้น คือ เขียนให้สั้นแต่ได้ใจความชัดเจน สมบูรณ์ ประหยัดถ้อยคำ เลือกใช้คำที่มีความหมายชัดเจน  ไม่กำกวม  เป็นคำพูดที่ใช้ในวงวิชาการระดับสากลที่มีมาตรฐานคงเส้นคงวาในการอธิบายผลการวิจัย เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยในการเขียนบทความเชิงวิชาการให้ได้ดีนั้น คงยังมีอีกมาก อาทิเช่น ลักษณะจำเพาะของบทความเฉพาะสาขา ความยาวที่เหมาะสม แบบฟอร์ม และรายละเอียดเกี่ยวกับการพิมพ์ เป็นต้น ผู้เขียน บทความควรให้ความสนใจศึกษาต่อไป ที่นำเสนอมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนสำคัญที่ไม่ควรขาดในการเขียนบทความเชิงวิชาการโดยทั่วไปเท่านั้น

ดังนั้น  การเขียนบทความวิจัยเป็นการเขียนเพื่อนำเสนอเนื้อหาสาระทางวิชาการและการวิจัยให้กลุ่มผู้อ่านที่เป็นนักวิชาการในกลุ่มสาขาเดียวกันได้รับรู้โดยตีพิมพ์ เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการเฉพาะสาขานั้น การเขียนบทความวิจัย ต้องคำนึงถึงความครอบคลุมส่วนประกอบหัวข้อต่าง ๆ ความชัดเจน กระชับในการใช้ภาษา ความเป็นลำดับ ต่อเนื่องของข้อความที่ปรากฏ ตลอดจนการนำเสนอ ความคิดใหม่ ๆ ของผู้เขียน หรือผู้นิพนธ์ประกอบด้วยการเขียนบทความวิจัยให้ได้ดี  จำเป็นต้องหมั่นฝึกฝน และศึกษาเรียนรู้จากตัวอย่าง ตามแบบที่มีอยู่ในบทความวิจัยที่ดีจนกว่าจะปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรกของผู้เขียนเสียก่อน  ถ้าปราศจากซึ่งการเริ่มต้นการเขียน ไฉนเลยจะมีงานเขียนที่ดีได้ 

เอกสารอ้างอิง

ไชยสิทธิ์ อุดมโชคนามอ่อน  และคณะ(2561).  เทคนิคการเขียนบทความ

วิจัยและบทความวิชาการด้านสังคมศาสตร์วารสารรัชต์ภาคย์ ปีที่ 12  

 ฉบับที่ 27 กันยายน-ธันวาคม 2561 TCI  กลุ่มที่ 2 มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

ประภาพรรณ อุ่นอบ.(2554). การเขียนบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ. เอกสารประกอบการ ประชุมพัฒนาทักษะในการเขียนบทความวิจัยและบทความวิชาการฯส านักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 22-23 ธันวาคม 2554 ณ ห้องประชุมโรงแรมบ้านไม้งามรีสอร์ท จังหวัด อุบลราชธานี

วารสารการวิจัยเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่, ส านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.). หลักเกณฑ์การเสนอบทความ วิจัย. [ออนไลน์] สืบค้น 25 มกราคม 2561, จาก http://abcjournal.trf.or.th/rule.aspx.

Area Based Development Research Journal, The Thailand 

Research Fund (TRF). Criteria for Presenting Research Articles. [Online], Retrieved on January 25, 2018 form http://abcjournal.trf.or.th/rule.aspx.

Warangkana Chankong. (2014). "Research articles" with "

research articles" like or different. Journal of Health Science Online No. 3 in Health Science Sukhothai Thammathirat Open.  University. Discovered on March 8, 2018, 

http://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/book573