วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2563

การเขียนบทความวิจัย

 

การเขียนบทความวิจัย

ดร.จริยา  ทองหอม


นิยามความหมายของบทความวิจัย

บทความวิจัย (research article) เป็นรูปแบบของความเรียงชนิดหนึ่งที่นำเอาเอาองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยมาเขียนใหม่ในประเด็นที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอโดยผู้เขียนบทความวิจัยอาจเป็นเจ้าของผลงานวิจัย ในเรื่องนั้นๆ หรือเป็นผู้อ่านงานวิจัยในเรื่องนั้นๆ แล้วพบประเด็นที่น่าสนใจจากงานวิจัยที่อ่าน แล้วนำประเด็นที่สนใจนั้นมาเขียนเป็นบทความวิจัยให้อ่านและเข้าใจได้ง่าย เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้นั้นให้แพร่หลายออกไป ข้อค้นพบจากงานวิจัยเรื่องหนึ่ง ๆ อาจมีหลายประเด็น แต่ในการเขียนบทความวิจัย สามารถนำข้อค้นพบเหล่านั้นมาเขียนเป็นบทความวิจัยเป็นเรื่อง ๆ ได้หลายเรื่อง การเขียนบทความวิจัยเป็นผลงานต่อเนื่องที่ได้มาจากการสกัดงานวิจัย ซึ่งบทความประเภทนี้ เป็นบทความที่ประมวล สรุปกระบวนการวิจัยให้มีความกระชับและสั้น เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร สื่อสิ่งพิมพ์ หรือการประชุมสัมมนาทางวิชาการ

บทความวิจัยเป็นเอกสารทางวิชาการที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์มากกว่ารายงานการวิจัย เพราะ ในระหว่างการดำเนินการวิจัย นักวิจัยอาจตัดตอนผลการวิจัยนำร่อง หรือผลงานวิจัยบางส่วนนำเสนอเป็นบทความวิจัยเพื่อเผยแพร่หรือตรวจสอบความคิดได้ บทความวิจัยจึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของรายงานการวิจัยที่นักวิจัยนำเสนอก่อนรายงานการวิจัยและเป็นสารสนเทศที่ทันเหตุการณ์มากกว่ารายงานการวิจัยที่มีการเผยแพร่เมื่อเสร็จสิ้นโครงการวิจัย

บทความความวิจัยต้องผ่านการกลั่นกรองและตรวจสอบเนื้อหาสาระความถูกต้องจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้น ๆ  นอกจากนี้แล้วจะต้องมีรูปแบบการจัดพิมพ์ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานของวารสาร หรือตามที่คณะกรรมการประเมินด้วย เป็นการก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่กระชับชัดเจนและเข้มข้นในเนื้อหามากยิ่งขึ้น

บทความที่เกิดจากการค้นคว้าวิจัย โดยมีกระบวนการที่นำไปสู่การสร้างความรู้ และมีข้ออธิบายได้ชัดเจนเป็นงานวิจัยที่มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาเฉพาะพื้นที่ (เช่นระดับจังหวัด ตำบล หมู่บ้าน หรือ ชุมชน) ไม่ใช่พัฒนาในระดับประเทศ หรือระดับโลก  มีการนำไปใช้ประโยชน์ หรือถูกนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ได้แก่ ประโยชน์เชิงนโยบาย เชิงพาณิชย์ หรือสาธารณะ

บทความวิจัยเป็นเอกสารทางวิชาการที่นักวิจัยเขียนขึ้นในรูปบทความวิชาการเพื่อนำเสนอข้อค้นพบเชิง ประจักษ์และหรือนวัตกรรมที่เป็นผลงานผ่านสื่อประเภทต่างๆ รวมทั้งการเผยแพร่ในที่ประชุมวิชาการเนื่องจากวารสารมีจำนวนหน้าที่จำกัดและการประชุมวิชาการมีเวลาจำกัด  บทความวิจัยจึงมีความยาวจำกัด มีจำนวนหน้าน้อยกว่ารายงานการวิจัย

การใช้ประโยชน์ก่อให้เกิดผลกระทบทางบวกในวงกว้าง หรือค่อนข้างมากต่อสังคม จากที่นำเสนอไปข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่า “บทความวิจัย” เป็นบทความที่เขียนขึ้นโดยอาศัยข้อมูลจากการทำวิจัยของผู้วิจัยในฐานะผู้เขียนนั่นเอง ดังนั้น คงไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า “บทความวิจัย” คือขั้นตอนหนึ่งกระบวนการดำเนินการวิจัยด้วย ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์ของการวิจัย คือ การค้นหาความรู้ใหม่หรือการค้นหาแนวทางที่จะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ การวิจัยเปรียบเสมือนการต่อยอดของฐานความรู้ที่มีการสั่งสมกันมา ความรู้ที่สั่งสมกันมานั้นก็มาจากการวิจัยก่อนหน้านี้นั่นเอง เราสามารถเข้าถึงความรู้ดังกล่าวได้ก็ด้วยการเข้าถึงสิ่งตีพิมพ์ และผลงานที่ผู้อื่นทำการวิจัยก่อนหน้านี้ได้เผยแพร่ไว้  ในทำนองเดียวกัน ผลงานวิจัยใหม่จากการวิจัยของเราเองก็ควรได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ เพื่อเป็นการสั่งสมความรู้ให้เพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก และเพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ตรงกันข้ามกับผลงานวิจัยที่ไม่ได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่ หรือไม่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในแหล่งที่เหมาะสม จะหลุดไปจากองค์ความรู้โดยรวม นับเป็นการสูญเปล่า และจะเปรียบเสมือนไม่มีผลงานนั้นเกิดขึ้นเลย

องค์ประกอบหรือโครงสร้างของบทความวิจัย

การเผยแพร่ความรู้โดยการเขียนบทความสำหรับนักวิชาการส่วนใหญ่จะทำในรูปแบบของผลงานวิชาการ ซึ่ง การเขียน “บทความ (Article)”  เป็นรูปแบบการเขียนประเภทหนึ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารข้อเท็จจริง และความคิดเห็น ให้กับผู้อ่าน เป็นข้อเขียนที่มีขนาดสั้น เนื้อหาที่นำเสนอนั้น ต้องมาจากข้อมูลจริง ไม่ใช่เรื่องที่แต่งหรือคิดขึ้นจากจินตนาการ และมีลักษณะเป็นข้อเขียนขนาดสั้น   

สำหรับ “บ ท ค ว า ม วิ จั ย ”  หรือ Research article นั้น เป็นบทความที่เป็นผลงานต่อเนื่องจาก งานวิจัย หรือสกัดมาจากงานวิจัย บทความประเภทนี้ เป็นบทความที่ประมวลสรุปกระบวนการวิจัยให้มีความกระชับและสั้น สำหรับตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือที่ประชุมสัมมนา โดยการพิมพ์เผยแพร่ บทความวิจัย ต้องผ่านการกลั่นกรอง ตรวจสอบเนื้อหาสาระ และความถูกต้องจากผู้ทรงคุณวุฒิในวงวิชาการนั้นๆ (Peer review)  นอกจากนี้ จะต้องมีรูปแบบการจัดพิมพ์ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานของวารสารหรือคณะกรรมการประเมิน

เทคนิคการเขียนบทความวิจัย

การเขียนบทความวิจัย คือ การนำเสนอบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ทำให้ผู้เขียนได้พัฒนาศักยภาพของตนเองตลอดเวลา และบทความวิจัยคือส่วนหนึ่งในการพัฒนาชื่อเสียงให้กับสถาบัน  การเขียนบทความวิจัยที่มีคุณภาพนั้นต้องมีวิธีการเขียนบทความวิจัยคือต้องใช้เทคนิคการเขียน และมีการใช้ภาษาที่ถูกต้องด้วย

วิธีการเขียนบทความวิจัยนั้นมีระดับของคุณภาพของบทความวิจัยมีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ เรียงจากน้อยไปหามาก ได้แก่  1) ระดับดี คือ เป็นบทความ วิจัยที่มีเนื้อหาสาระทางวิชาการถูกต้องสมบูรณ์และทันสมัย มีแนวคิดและการนำเสนอที่ชัดเจน เป็นประโยชน์  2) ระดับดีมาก คือ มีเกณฑ์เช่นเดียวกับระดับ ดี แต่จะมีข้อกำหนดเพิ่มเติม คือ บทความนั้น ๆ ต้องมีการวิเคราะห์ และนำเสนอความรู้ หรือวิธีการที่ทันสมัยต่อความก้าวหน้าทางวิชาการ เป็นบทความที่เป็นประโยชน์  สามารถนำไปใช้อ้างอิงหรือนำไปปฏิบัติได้  และ 3) ระดับดีเด่น คือ มีเกณฑ์เช่นเดียวกับบทความในระดับดีมาก แต่จะมี ข้อกำหนดเพิ่มเติม คือ บทความนั้น ๆ ต้องมีลักษณะเป็นงานที่บุกเบิกทางวิชาการ ตลอดจนมีการสังเคราะห์ จนถึงระดับที่สร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ  ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีการกระตุ้นให้เกิดความคิดค้นอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ หรือในวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งการเขียนบทความวิจัยในระดับคุณภาพต่าง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับแก่นสาระที่สำคัญของบทความวิจัย คือใช้ระเบียบวิธีการในการวิจัยที่เหมาะสม และมีผลการวิจัยที่ยังไม่เคยมีการค้นพบมาก่อน

ส่วนประกอบที่สำคัญของการเขียนบทความวิจัย

บทความวิจัย คือ บทความที่ควรประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญ  ดังต่อไปนี้

1. ชื่อเรื่อง (Title) คือ ผู้เขียนต้องตั้งชื่อเรื่องของบทความวิจัยที่บ่งบอกให้เห็นถึงประเด็นสำคัญของงานวิจัย ชื่อเรื่องต้องตรงประเด็น ไม่กำกวม  และเข้าใจได้ง่าย 

2. บทคัดย่อ (Abstract) คือ บทคัดย่อนั้นนับว่าเป็นส่วนที่เขียนยากที่สุดของบทความวิจัย ผู้เขียนควรจะเขียนบทคัดย่อในลำดับท้ายสุด เนื่องจากเนื้อหาของบทคัดย่อ จะต้องมีการกล่าวถึงเนื้อหาโดยรวมทั้งหมดของบทความหรือแบบที่มีข้อจำกัดในด้านของจำนวนคำในการเขียน ซึ่งในการเขียนบทคัดย่อที่ดีนั้น ผู้เขียน บทความวิจัย คือ ผู้ที่ควรจะต้องเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดเสียก่อนจึงจะสามารถเขียนได้อย่างกระชับ และบทความวิจัยสามารถถ่ายทอดเนื้อหาสาระที่สำคัญของบทความวิจัยได้เนื้อหาในส่วนของบทคัดย่อควรจะกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของงานวิจัย วิธีการในการทำวิจัย และผลของการวิจัย

3. บทนำ (Introduction) คือ เนื้อหาในส่วนของบทนำจะต้องกล่าวถึง ความเป็นมา และสิ่งที่น่าสนใจของงานวิจัยว่ามีอะไรใหม่ ๆ หรือมีความโดดเด่นอย่างไร มีความแตกต่างจากงานวิจัยอื่นๆ ในเรื่องเดียวกันอย่างไร นอกจากนี้ บทความวิจัย คือ บทความที่ควรกล่าวด้วยว่างานวิจัยนี้สามารถแก้ปัญหาหรืออุดช่องโหว่ในเรื่องนั้น ๆ อย่างไร

4. ระเบียบวิธีวิจัย (Research methodology) คือ เนื้อหาของส่วนนี้ ผู้เขียนจะต้องกล่าวถึงวิธีที่ใช้ในการทำวิจัย เช่น บทความวิจัย คือ บทความวิจัยเชิงคุณภาพ หรือบทความวิจัยเชิงปริมาณ และมีวิธีการคัดเลือก ผู้ให้ข้อมูลหรือกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีใด  ผู้ที่ให้ข้อมูลหรือกลุ่มตัวอย่างเป็นใคร มีจำนวนเท่าไร ใช้วิธีใดในการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร  นอกจากนี้ ผู้เขียนต้องบอกเหตุผลที่ใช้วิธีวิจัยดังกล่าว

5. ผลการวิจัย (Research findings/results) คือ หัวใจหลักของบทความวิจัยนั้นๆ ผู้เขียนต้องเขียนอธิบายว่าค้นพบอะไรบ้านจากการศึกษา ผู้เขียนอาจมีการนำเสนอด้วยการใช้แผนภูมิหรือตารางประกอบการอธิบาย

6. วิจารณ์ผลการวิจัย (Discussion) คือ ส่วนที่ผู้เขียนสามารถที่จะนำไปรวมอยู่ในส่วนของผลการวิจัยก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบที่กำหนด การวิจารณ์ผลการวิจัยเป็นการเปรียบเทียบผลที่ผู้เขียนค้นพบกับการศึกษาก่อนหน้านี้ และบทความวิจัย คือ บทความที่เป็นการแสดงการวิเคราะห์ว่าผู้เขียนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการศึกษาก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ ตามการเขียนในส่วนนี้ต้องอาศัยการทบทวนวรรณกรรม หรืองานวิจัยจำนวนมากมาก่อน

7. บทสรุป (Conclusion)  เป็นส่วนที่สรุปสาระสำคัญของบทความวิจัย คือ ประเด็นที่ผู้เขียนค้นพบ ในความยาวประมาณ  1-2  ย่อหน้า

บทสรุป

ผลจากการนำเสนอในข้างต้นนั้น พอที่จะเข้าใจถึงการเขียนบทความเชิงวิชาการที่นักวิชาการจะต้องเรียนรู้ และฝึกฝนปฏิบัติตน ซึ่งถือเป็นบทบาทและหน้าที่ของตน ทั้งนี้ ประโยชน์ของการเขียนบทความเชิงวิชาการนั้น มีทั้งต่อตัวผู้เขียนเองในแวดวงวิชาการและสังคมส่วนรวม  การเขียนบทความเชิงวิชาการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จึงจำเป็นที่ผู้เขียนจะต้องมีความรู้ในเชิงหลักการหรือแนวคิดทฤษฎีการเขียนบทความ รวมทั้งต้องพยายามหมั่นฝึกฝนลงมือปฏิบัติ เพื่อสั่งสมประสบการณ์และความชำนาญ เพื่อให้สามารถเขียนบทความที่ดีหรือมีคุณภาพได้ ทั้งนี้ หลักการทั่วไปของการเขียนบทความเชิงวิชาการนั้น คือ เขียนให้สั้นแต่ได้ใจความชัดเจน สมบูรณ์ ประหยัดถ้อยคำ เลือกใช้คำที่มีความหมายชัดเจน  ไม่กำกวม  เป็นคำพูดที่ใช้ในวงวิชาการระดับสากลที่มีมาตรฐานคงเส้นคงวาในการอธิบายผลการวิจัย เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยในการเขียนบทความเชิงวิชาการให้ได้ดีนั้น คงยังมีอีกมาก อาทิเช่น ลักษณะจำเพาะของบทความเฉพาะสาขา ความยาวที่เหมาะสม แบบฟอร์ม และรายละเอียดเกี่ยวกับการพิมพ์ เป็นต้น ผู้เขียน บทความควรให้ความสนใจศึกษาต่อไป ที่นำเสนอมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนสำคัญที่ไม่ควรขาดในการเขียนบทความเชิงวิชาการโดยทั่วไปเท่านั้น

ดังนั้น  การเขียนบทความวิจัยเป็นการเขียนเพื่อนำเสนอเนื้อหาสาระทางวิชาการและการวิจัยให้กลุ่มผู้อ่านที่เป็นนักวิชาการในกลุ่มสาขาเดียวกันได้รับรู้โดยตีพิมพ์ เผยแพร่ในวารสารทางวิชาการเฉพาะสาขานั้น การเขียนบทความวิจัย ต้องคำนึงถึงความครอบคลุมส่วนประกอบหัวข้อต่าง ๆ ความชัดเจน กระชับในการใช้ภาษา ความเป็นลำดับ ต่อเนื่องของข้อความที่ปรากฏ ตลอดจนการนำเสนอ ความคิดใหม่ ๆ ของผู้เขียน หรือผู้นิพนธ์ประกอบด้วยการเขียนบทความวิจัยให้ได้ดี  จำเป็นต้องหมั่นฝึกฝน และศึกษาเรียนรู้จากตัวอย่าง ตามแบบที่มีอยู่ในบทความวิจัยที่ดีจนกว่าจะปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรกของผู้เขียนเสียก่อน  ถ้าปราศจากซึ่งการเริ่มต้นการเขียน ไฉนเลยจะมีงานเขียนที่ดีได้ 

เอกสารอ้างอิง

ไชยสิทธิ์ อุดมโชคนามอ่อน  และคณะ(2561).  เทคนิคการเขียนบทความ

วิจัยและบทความวิชาการด้านสังคมศาสตร์วารสารรัชต์ภาคย์ ปีที่ 12  

 ฉบับที่ 27 กันยายน-ธันวาคม 2561 TCI  กลุ่มที่ 2 มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

ประภาพรรณ อุ่นอบ.(2554). การเขียนบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ. เอกสารประกอบการ ประชุมพัฒนาทักษะในการเขียนบทความวิจัยและบทความวิชาการฯส านักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 22-23 ธันวาคม 2554 ณ ห้องประชุมโรงแรมบ้านไม้งามรีสอร์ท จังหวัด อุบลราชธานี

วารสารการวิจัยเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่, ส านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.). หลักเกณฑ์การเสนอบทความ วิจัย. [ออนไลน์] สืบค้น 25 มกราคม 2561, จาก http://abcjournal.trf.or.th/rule.aspx.

Area Based Development Research Journal, The Thailand 

Research Fund (TRF). Criteria for Presenting Research Articles. [Online], Retrieved on January 25, 2018 form http://abcjournal.trf.or.th/rule.aspx.

Warangkana Chankong. (2014). "Research articles" with "

research articles" like or different. Journal of Health Science Online No. 3 in Health Science Sukhothai Thammathirat Open.  University. Discovered on March 8, 2018, 

http://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/book573




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น