“การสอนแบบไม่ชี้นำ”
(Nondirective Teaching)
“การสอนแบบไม่ชี้นำ” หรือ Nondirective Teaching เป็นผลงานของ คาร์ล
โรเจอร์ (Carl R.Roger, 1961-1971) จากประสบการณ์ในการเป็นนักจิตบำบัด
(Psycho Therapist) โรเจอร์
ได้ใช้วิธีการให้คำปรึกษาหารือแก่ผู้ป่วย โดยวิธีคำนึงถึงผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (Client-Centered)
ด้วยการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้ป่วย มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์
เชิดชูในคุณค่าศักดิ์ศรีของบุคคลทุกคน สร้างบรรยากาศความเป็นกันเอง
ความเชื่อมั่นไว้วางใจ ให้เกิดกับผู้มารับคำปรึกษา จะทำให้ผู้มาหารู้สึกสบายใจ
รู้สึกเป็นอิสระเสรี
มีความกล้าพอที่จะเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดของตนให้นักจิตวิทยาฟัง โดยผู้ฟังจะต้องให้ความสนใจแสดงการยอมรับเคารพในสิทธิการแสดงความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้มาปรึกษา
ฟังด้วยความสนใจ ด้วยใจเป็นกลาง ด้วยการถามทบทวนในบางครั้ง
เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจปัญหาและความรู้สึกของตนเองอย่างกระจ่างชัด และเพื่อให้ผู้ป่วยมีความกล้าพอที่จะเผชิญกับปัญหาและได้ขบคิดปัญหาของตนเอง
นักจิตวิทยาทำหน้าที่เป็นคนกลาง คอยส่งเสริมให้กำลังใจ
กระตุ้นให้ผู้ป่วยเปิดเผยตนเองขบคิดปัญหา และทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูล
ข้อเท็จจริงในบางครั้ง หรือแนะนำแหล่งข้อมูลให้โดยไม่ทำหน้าที่ตัดสินใจให้ผู้ป่วย
โรเจอร์ได้สรุปแนวคิดไว้ว่า
“ถ้าการบำบัดใช้ความสามารถของผู้รับบริการคือผู้ป่วย (Client) ในการแก้ปัญหาของตนเอง ทำไมถึงไม่ใช้สมมุติฐานข้อนี้และวิธีสอนแบบนี้ไปใช้
? ถ้าการสร้างบรรยากาศของการยอมรับ
การเข้าใจและการเคารพนับถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ในการส่งเสริมการเรียนรู้ในการบำบัด (Thera – py) ถ้าเช่นนี้จะนำมาเป็นมาตรการในการเรียนรู้ในการศึกษาได้หรือไม่?
ถ้าการบำบัดปรากฏผลออกมาว่า
นอกจากจะทำให้ตนรู้จักตนเองดีแล้ว ยังสามารถช่วยตัวเองในสภาพการอย่างใหม่ ๆ
ได้อย่างดีอีกด้วย ก็พอจะหวังผลคล้ายกันนี้ในวงการศึกษาได้หรือไม่?”
โรเจอร์ให้ทัศนต่อไปอีกว่า
“สำหรับสังคมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่นในสังคมในอดีตนั้น
การสอนเนื้อหาวิชาความรู้และทักษะให้ผู้เรียนอาจจะเหมาะสมกับสังคมในขณะนั้น
แต่สังคมในสมัยใหม่ มนุษย์กำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายของการเรียนการสอน ควรเป็นการอำนวยความสะดวกเพื่อการเรียนรู้ (facilitator
of learning) ครูมีหน้าที่เป็นผู้อำนวยการความสะดวกในการเรียนรู้ (facilitator)
ครูควรมีคุณสมบัติด้านให้ความจริงใจแก่ผู้เรียน
เคารพให้เกียรติและการเห็นคุณค่าของผู้เรียน และเป็นผู้ที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา
รวมถึงเป็นผู้มีความละเอียดอ่อนในการเข้าถึงอารมณ์ของผู้เรียน”
เป้าหมาย
เป้าหมายที่สำคัญของการให้การศึกษาไม่ว่าจะเป็นการให้การศึกษาแก่เด็กหรือผู้ใหญ่
คือการที่ผู้เรียนขวนขวาย เสาะแสวงที่จะศึกษาด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีผู้ใดบังคับ
เป็นการเรียนที่เกิดจากใจชอบ ใจรัก ซึ่งเกิดจากแรงจูงใจภายใน
การเรียนรู้ในลักษณะนี้เรียกว่า เป็นการเรียนรู้จากการนำตนเอง (Self directed
learning) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่นักการศึกษาพึงประสงค์ให้เกิดกับผู้เรียนมากที่สุด
โรเจอร์เรียกแนวการสอนข้างต้นว่า
Student
centered ครูหรือผู้อำนวยความสะดวกจะต้องรับผิดชอบในฐานะ
เป็นสมาชิกของกลุ่มและเป็นผู้นำการเรียน
จะต้องเป็นผู้สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วมในกลุ่ม เป็นผู้รักษาบรรยากาศของการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
เป็นผู้ช่วยแนะแหล่งวิทยาการ
ที่จะหาความรู้เพิ่มเติมตามที่กลุ่มต้องการและเห็นว่าเป็นประโยชน์
เป็นผู้มีความยืดหยุ่น และสามารถทำได้หลายบทบาท เช่น เป็นผู้ตีความหมาย
เป็นผู้ชี้ขาด หรือเป็นเพียงสมาชิกธรรมดาคนหนึ่งในกลุ่มผู้เรียน
การเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
(Student
centered approach) อาศัยแนวคิดการรักษาผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางการบำบัด
(Client-centered Therapy) โดย โรเจอร์ได้ตั้งสมมติฐานดังนี้
1. ผู้สอนจะไม่สอนผู้เรียนโดยตรงแต่จะช่วยอำนวยให้
(facilitate) ผู้เรียนได้เรียนรู้ ทั้งนี้
เพราะว่าบุคคลทุกคนจะอยู่ในโลกแห่งประสบการณ์ของตน
สิ่งที่มีชีวิตนั้นจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อสนาม (field) แห่งปรากฏการณ์ต่าง
ๆ ตามที่เขาแต่ละคนประสบและรับรู้
2. ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีในสิ่งที่ผู้เรียนเห็นว่าสิ่งนั้น
ๆ
เกี่ยวข้องกับการดำรงรักษาหรือเพิ่มพูนลักษณะของผู้เรียนช่วยส่งเสริมหรือช่วยให้เขาสามารถรักษาโครงสร้างภายในของตนเองได้
3. ผู้เรียนจะปฏิเสธประสบการณ์ที่เขาคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่จะต้องให้เขาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของตนเอง
(Organization of self)
4. ถ้าหากผู้เรียนอยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่เขาคิดว่าเคร่งเครียดภายใต้การบังคับควบคุมผู้เรียนจะยิ่งยืนหยัด
ไม่ยอมยืดหยุ่นปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดมาทำให้เขาตึงเครียด
เขาจะปรับตัวเองให้เข้ากับประสบการณ์ได้
5. สภาวะทางการศึกษาที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดในการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จะต้องเป็นสภาวะที่ไม่ข่มขู่ผู้เรียนและเป็นภาวะที่ผู้เรียน
สามารถจำแนกวิเคราะห์องค์ประกอบของสถานการณ์ที่เขาประสบและรับรู้อยู่
แนวการสอน
แนวการสอนแบบ The Learner at the
Center หรือ Student Centered ผู้สอนควรมีบทบาทดังนี้
1. จะต้องเป็นผู้สร้างบรรยากาศที่ดีในชั้นเรียน
2. คอยช่วยทำให้เกิดความกระจ่างชัดในเป้าหมายของแต่ละคนและของกลุ่ม
3. ต้องใช้ความต้องการ และความสนใจของผู้เรียนแต่ละคน
เป็นแรงจูงใจในการเรียนการสอน
4. ต้องพยายามจัดหาแหล่งทรัพยากรในการเรียนรู้
(Resources for learning) ให้เปิดกว้างมากที่สุด
5. ต้องคำนึงว่าตนเองเป็นแหล่งทรัพยากรในการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นได้สำหรับกลุ่มผู้เรียน
6. ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน
ผู้สอนจะต้องจำแนกได้ว่าสิ่งใดเป็นเนื้อหาวิชาการและสิ่งใดเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้เรียน
และควรพยายามที่ให้ความสำคัญแก่ทั้งสองสิ่งนี้ในทางที่เหมาะสมต่อความรู้สึกของผู้เรียนและกลุ่มผู้เรียน
7. ในห้องเรียนที่มีความเป็นกันเอง
ผู้สอนสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่ม
และแสดงความคิดเห็นได้ในฐานะผู้เรียนคนหนึ่งเท่านั้น
8. ผู้สอนควรริเริ่มแสดงความรู้สึก
ความนึกคิดของตัวเองกับสมาชิกของกลุ่มในลักษณะที่เป็นการแสดงออกระหว่างบุคคล
ที่มีความใกล้ชิดกัน ซึ่งแต่ละฝ่ายจะรับฟังหรือไม่รับฟังก็ได้
9. ตลอดเวลาที่มีปฏิสัมพันธ์กัน
ผู้สอนจะต้องมีความไวต่อการแสดงออกด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้งและรุนแรงระหว่างสมาชิกของกลุ่ม
10. ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก
และต้องยอมรับว่าตนเองมีข้อจำกัดบางประการในการเป็นผู้อำนวยความสะดวก
รูปแบบการสอน
รูปแบบการสอน (Model of Teaching) โดยใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางที่เรียกว่า Nondirective Teaching เป็นรูปแบบรายบุคคล (Personal Model) ซึ่งมีความสำคัญอยู่ที่ครูและผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการเรียนการสอน
การเรียนการสอนไม่สามารถจะกำหนดให้เป็นรูปแบบตายตัวได้
มีเพียงส่วนน้อยที่ควบคุมได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว
เหตุการณ์และกิจกรรมจะแปรผันไปตามสภาพการณ์ในแต่ละครั้งแล้ว
แต่ว่าผู้เรียนหรือกลุ่มจะนำไป นั่นคือกิจกรรมการเรียนการสอนไม่สามารถกำหนดไว้ก่อนล่วงหน้าให้แน่ชัดลงไปได้
แตกต่างจากวิธีสอนส่วนใหญ่ที่กิจกรรมได้ถูกกำหนดไว้แน่ชัด และมีลำดับ ขั้นตอน
ที่เป็นเช่นนี้เป็นผลมาจากการนำเสนอ
และการวิเคราะห์เรื่องราวที่เรียกนั้นให้ความสำคัญกับผู้เรียนในรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
บทบาทของครูจะต้องลดน้อยลง ลำดับขั้นของกิจกรรมที่กำหนดไว้ก็ลดลง
บทบาทของมีข้อจำกัดบางประการในการเป็นผู้อำนวยความสะดวก
ควรเน้นหนักที่เป็นผู้แนะนำเท่าที่ผู้เรียนมีความต้องการ
และไม่อาจที่จะกำหนดให้หรือคาดไว้ล่วงหน้าได้ ดังนั้น
เพื่อให้รูปแบบการเรียนการสอนบรรลุผล
ผู้สอนจะต้องเรียนรู้และเพิ่มประสบการณ์ที่มีความไวในการรับรู้จากบุคคลอื่น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่จะต้องฝึกฝนเพิ่มเติม
รวมทั้งประสบการณ์ในรูปแบบการสอนอย่างเดียวกันนี้ ที่ผ่านมาในอดีต
ขั้นตอนของกิจกรรมการเรียนการสอน
โรเจอร์กล่าวว่าแม้ว่ากิจกรรมการเรียนการสอนจะมีความหลากหลายจน
ไม่สามารถจะกำหนดไว้ล่วงหน้าได้ แต่ก็สามารถแบ่งลำดับขั้นของกิจกรรมได้ เป็น 5 ขั้นตอน
ดังต่อไปนี้ (Bruce Joyce, and Marsha Weil, 1986 : 151)
ขั้นแรก กำหนดสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ครูจะช่วยตั้งข้อสังเกตจากความคิดเห็น
หรือความรู้สึกที่ผู้เรียนแสดงออกมาอย่างอิสระ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นปัญหาที่แจ่มชัด
ขั้นที่สอง ครูจะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความรู้สึกต่อเรื่องนั้น
ๆ ทั้งทางบวกและทางลบ เพื่อกำหนดและสำรวจข้อปัญหา
ขั้นที่สาม ครูพยายามช่วยให้ผู้เรียนเกิด insight ในปัญหานั้นทีละน้อย ๆ เช่น รับรู้ความหมายใหม่
มองเห็นความสัมพันธ์เชิงเหตุผล เข้าใจความหมายของพฤติกรรมที่ผ่านมา ฯลฯ
ขั้นที่สี่
ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหา
ผู้เรียนจะช่วยกันวางแผนและตัดสินใจเลือกทางเลือก ในการแก้ปัญหาโดยมีครูเป็นผู้ให้ความกระจ่างชัดในแต่ละทางเลือก
ขั้นที่ห้า
ผู้เรียนนำเสนอการกระทำด้วยวิธีการหลาย ๆ อย่าง
การนำไปใช้
Nondirective Teaching Model สามารถนำไปใช้ได้กับปัญหาระดับต่าง
ๆ ทั้งระดับบุคคล สังคม และวิชาการ ในระดับส่วนบุคคลนั้น
ผู้เรียนจะสำรวจความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง
ในปัญหาสังคมผู้เรียนจะสำรวจความรู้สึกที่มีความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ
และความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกที่มีต่อตนเองกับความรู้สึกที่มีต่อคนอื่นในปัญหาด้านวิชาการ
ผู้เรียนจะสำรวจความรู้สึกของตนเอง เกี่ยวกับความสามารถและความสนใจ
ทั้งสามกรณีดังกล่าวนี้ เนื้อหามักจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า เรื่องอื่น ๆ
ปกติจุดเน้นจะอยู่ที่ความรู้สึกของแต่ละบุคคล ประสบการณ์ การหยั่งเห็น
และวิธีการแก้ปัญหา
การใช้วิธีสอนนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ครูจะต้องยอมรับว่านักเรียนสามารถที่จะเข้าใจและสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้
ครูจะต้องเชื่อว่าผู้เรียนมีศักยภาพในตัวเอง
และครูจะต้องเชื่อว่าผู้เรียนมีศักยภาพในตัวเอง และครูจะต้องแสดงออกทางคำพูดด้วย
ครูจะต้องไม่ตัดสินให้ผู้เรียนว่าอะไรดีอะไรเลว
ครูจะต้องไม่วิเคราะห์ปัญหาเฉพาะในสายตาของครูเท่านั้น
ครูจะต้องพยายามมองโลกของผู้เรียนในสายตาของผู้เรียนที่ผู้เรียนจะมองด้วยวิธีการต่าง
ๆ นี้ อาจกล่าวได้ว่าครูจะต้องปรับตัวเองให้รับคนอื่น (ผู้เรียน)
ได้ในบทบาทของครูที่จะเป็นตัวแทน (alter-ege) ของผู้เรียนครูจะต้องพัฒนา
frame of reference ซึ่งยากที่จะทำ
แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
หากครูมีความต้องการที่จะเข้าใจผู้เรียนเช่นเดี่ยวกับที่ผู้เรียนเข้าใจ
ในการยอมรับจำเป็นต้องสร้าง frame of reference คือความสามารถที่มองอย่างที่ผู้เรียนมอง
ในสถาบันการศึกษาที่มีลักษณะ
Open-Classrooms
จะพบว่าได้นำหลักการ Non-directive ไปใช้
ซึ่งมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
จุดประสงค์ของ Open-Classrooms พัฒนาความรู้สึกและความเจริญ
self- concept ของผู้เรียน
และความต้องการการเรียนรู้ของผู้เรียน
วิธีการสอน
เป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นในการเรียน เทคนิคส่วนใหญ่ที่จะใช้คือ กลุ่มทำงาน (Group work) เน้นความคิดสร้างสรรค์ความรู้เกี่ยวกับตนเอง (Self-knowledge)
บทบาทของครู
ครูมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก เป็นวิทยากร เป็นผู้ชี้แนะ เป็นที่ปรึกษา
เนื้อหาและวิธีสอน ผู้เรียนจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า อะไรบ้างที่มีความสำคัญที่จะต้องเรียน (คืออะไรบ้างที่จะเรียน) ผู้เรียนสามารถตั้งจุดประสงค์ในการเรียนของตนเองตลอดจนวิธีการที่จะเรียนด้วย
การประเมินผล ผู้เรียนเป็นผู้ประเมินการเรียนด้วยตนเอง มากกว่าที่ครูเป็นผู้ประเมินผล ความก้าวหน้าวัดในลักษณะที่เป็นเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ
องค์ประกอบทางสังคม (Social System)
เนื้อหาและวิธีสอน ผู้เรียนจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า อะไรบ้างที่มีความสำคัญที่จะต้องเรียน (คืออะไรบ้างที่จะเรียน) ผู้เรียนสามารถตั้งจุดประสงค์ในการเรียนของตนเองตลอดจนวิธีการที่จะเรียนด้วย
การประเมินผล ผู้เรียนเป็นผู้ประเมินการเรียนด้วยตนเอง มากกว่าที่ครูเป็นผู้ประเมินผล ความก้าวหน้าวัดในลักษณะที่เป็นเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ
องค์ประกอบทางสังคม (Social System)
โมเดลนี้มีโครงสร้างภายนอกน้อยมาก
ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก ผู้เรียนเป็นผู้นำเสมอ
การอภิปรายเน้นเรื่องปัญหาเป็นศูนย์กลาง (Problem-centered) เน้นปัญหาไม่มีการให้รางวัลหรือการลงโทษ
(เพราะไม่มีการตัดสินว่าดีไม่ดี ผิดไม่ผิด) รางวัลที่ได้รับเกิดขึ้นในตนเอง (intrinsic)
ไม่ใช่คนอื่นมาบอก (ให้)
หลักปฏิบัติ (Principles of Reaction)
ครูเป็นผู้เข้าไปหาผู้เรียน
เห็นอกเห็นใจและช่วยให้ผู้เรียนนิยามปัญหากระตุ้นให้ผู้เรียน (ทำเอง)
ลงมือปฏิบัติเพื่อให้ได้วิธีแก้ปัญหานั้น
องค์ประกอบสนับสนุน (Support System)
ครูต้องการที่จะมีสถานที่เงียบ
และเป็นการส่วนตัว เพื่อพูดคุยกับผู้เรียนได้ตัวต่อตัว และต้องการแหล่งวิทยาการ (resource center) สำหรับการพูดคุยประชุมเชิงวิชการ
บทสรุป
ขั้นตอนของ Nondirective
Teaceing Model ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ (Joyce
and Wiel, 1986)
-
นิยามสถานการณ์ ที่เป็นประโยชน์ (Defining the Helping
Situation) ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความรู้สึกออกอย่างอิสระ
-
สำรวจปัญหา (Exploring the Problem) ผู้เรียนร่วมกันนิยามปัญหา
ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนนิยามปัญหา และช่วยให้มองเห็นปัญหาที่แจ่มชัด
-
การทำความเข้าใจปัญหาให้กระจ่าง (Developing Insight) ผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ
ครูสนับสนุนผู้เรียนในการอภิปรายเกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ
-
การวางแผนและการตัดสินใจ (Planning and
Decision Making) ผู้เรียนวางแผนการตัดสินใจเบื้องต้น
ครูชี้แนะแนวทางการแก้ปัญหา – การตัดสินใจในทางเลือกที่เป็นไปได้
-
บูรณาการ (Integration) ผู้เรียนมาแนวคิดที่กว้างขึ้น
และพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาที่มีความเป็นไปได้มากขึ้น
ครูสนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาของผู้เรียน.
ขออนุญาต นำบทความไปอ้างอิงหน่อยนะค่ะ
ตอบลบ